พูดแล้วทำ? ส่องนโยบาย ‘นายกปุ๊น’ มุ่งสร้างรายได้ชาวไทย สู่ความหวังใหม่สายเขียว
1 min read
อนุทิน ชาญวีรกูล, พรรคภูมิใจไทย กวาดคะแนนความนิยมในประเทศและแสงสปอตไลต์จากทั่วโลกจากนโยบาย “ปลดล็อกปุ๊นเสรี” ชูนโยบายหาเสียงมากมาย วันนี้กลับมาพร้อมตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สู่ความหวังใหม่สายเขียวหลังกฎคุมเข้มการเมืองคร่าผู้ประกอบการรายย่อยเสียหายนับหมื่นล้านบาม ชวนมองนโยบายหาเสียงภูมิใจไทย กับสโลแกน “พูดแล้วทำ” การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศในครั้งนี้จะรักษาคำพูดกับสิ่งที่เคยกระทำได้หรือไม่??
[ส่องนโยบายหาเสียงปุ๊นเสรีของพรรคภูมิใจไทย]
ย้อนกลับไปวันปราศรัยหาเสียงใหญ่เมื่อปี 2562 ที่สนามช้าง บุรีรัมย์ โดยพรรคภูมิใจไทยประกาศนโยบาย “ปุ๊นไทย ต้องปลูกได้เสรี” ในนาม ‘พืชเศรษฐกิจใหม่‘ ปูทางปลดล็อกกฎหมายเปิดให้ปลูกได้ทุกบ้านไม่เกิน 6 ต้น เพื่อส่งเสริมการบริโภคเสรีในครัวเรือนเพื่อสุขภาพและใช้ปุ๊นเพื่อผ่อนคลาย ตามภูมิปัญญาไทยที่มีทั้งตำรับยาและการปรุงอาหาร
.
ส่วนด้านเศรษฐกิจมีการส่งเสริมให้เป็น Wellness Tourism ซึ่งตั้งเป้าสร้างเม็ดเงินสูงถึง 420,000 ล้านบาท สร้างรายได้ใหม่เกษตรกร ปลูกพืชปุ๊นได้กิโลกรัมละ 70,000 บาท โดยยึดโมเดลจากแคลิฟอร์เนีย พร้อมต่อยอดไปสู่การเป็นแหล่งผลิตปุ๊นแห่งใหม่ของโลกเพื่อรองรับตลาดที่มีมูลค่าปีละหลายแสนล้านบาท ไปจนถึงการต่อยอดงานศึกษาวิจัยและผลิตยาเชิงการแพทย์ ตามสโลแกน “พืชแก้จน พืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ปุ๊นเสรี”
.
นโยบายปุ๊นถือเป็นหนึ่งในวาระสุดร้อนแรงในช่วงเลือกตั้งปี 2562 จนทุกพรรคต้องชูนโยบายนี้เหมือนกันไม่ว่าจะพรรคเล็กพรรคใหญ่ แต่พรรคที่สนับสนุนการเปิดปุ๊นสันทนาการมีเพียงพรรคภูมิใจไทยและพรรคอนาคตใหม่ ถึงขั้นพูดกันเรื่องแนวคิดการทำเป็น Coffee shop แบบอัมสเตอร์ดัมอีกด้วย


[จุดยืน ‘อนุทิน‘ ปุ๊นคือพืชเศรษฐกิจใหม่ ไม่ใช่ยาเสพติด]
นายอนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์หาเสียงในช่วงปี 2562 กล่าวถึงนโยบายปุ๊นว่า ประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตปุ๊นที่มีคุณภาพดีที่สุดแหล่งหนึ่งของโลกและมีสายพันธุ์ที่ดีมาก ซึ่งอุตสาหกรรมปุ๊นโลกเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงสร้างเม็ดเงินมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี พรรคภูมิใจไทย จึงได้เห็นโอกาสของคนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ปลดหนี้สินได้ ซึ่งตนเชื่อว่าจะเกิดธุรกิจที่สร้างงานสร้างอาชีพได้จริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเหมือนที่คนดูถูก ซึ่งพรรคมองว่ามันเป็นพืชแก้จนของคนไทย พืชเศรษฐกิจใหม่สร้างรายได้ประชาชน
[ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น]
ตลอดการเดินทางของอุตสาหกรรมปุ๊น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเหมือนที่เสี่ยหนูกล่าวอ้าง เพราะมันสร้างอาชีพมากกว่า 80,000-100,000 ตำแหน่งเฉพาะอาชีพ Budtender ไม่รวมอาชีพเกี่ยวเนื่องอย่างเกษตรกร grower นักปลูกอีกมากกว่า 10,000 ราย ยอดจดแจ้งปลูกทุกบ้านทะลุ 1,000,000 คน พร้อมสถานบริการมากกว่า 18,000 แห่ง ไปจนถึงอีเวนท์ระดับโลกมากมาย แบรนด์ปุ๊นยักษ์ใหญ่ของโลกมาเปิดในไทยและดาราเซเล็บสายเขียวแห่บินมาเที่ยว ถือเป็นสุดยอด Soft Power ที่ทั่วโลกจับตามอง
ในยุคพรรคภูมิใจไทย ประเทศไทยประสบความสำเร็จด้านปุ๊นเชิงการแพทย์มากกว่าอีกหลายประเทศ เนื่องจากประชาชนสามารถเบิกใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านระบบประกันสุขภาพของรัฐ จึงมีการจ่ายยาปุ๊นรักษาโรคกว่า 258,513 ราย การเติบโตเพิ่มขึ้น 125% ในช่วงปี 2566 ด้วยยอดปริมาณการใช้ รวม 18,113,148 (ขวด/ซอง/แผง) พุ่งแซงหน้าประเทศปลดล็อคมานานแล้วอย่าง ‘แคนาดา’ ทั้งยังสร้างเม็ดเงินที่เกิดจากผลิตภัณฑ์และบริการมากกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลการให้บริการคลินิกปุ๊นทางการแพทย์แผนไทยทั่วประเทศ พบว่าเกิดศูนย์สุขภาพที่จ่ายยาปุ๊นเพื่อรักษาโรคกว่า 1,629 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็น โรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลชุมชน จํานวน 839 แห่ง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 38 แห่ง รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) จํานวน 740 แห่ง และศูนย์ฯ สถาบันการศึกษา จํานวน 12 แห่ง โดยมียอดรายการยาที่มีการสั่งจ่ายมาก ที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยาปุ๊นตำรับศุขไสยาศน์ 7,348,654 ซอง/แผง ยาปุ๊นแก้ลมแก้เส้น 6,763,540 ซอง/แผง ยาปุ๊นตำรับทําลายพระสุเมรุ 2,064,421 ซอง/แผง น้ำมันปุ๊น (ตํารับหมอเดชา) 1,505,878 ขวด และ ยาปุ๊นตำรับเนาวนารีวาโย 220,568 ซอง/แผง เป็นต้น
รายงานตัวเลขประชากรสายเขียวเมืองไทยเพิ่มขึ้น 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลังจากปลดล็อกปุ๊นเสรีทางการแพทย์ คาดปริมาณผู้ใช้ในไทยทะลุ 3 ล้านคน โดยพบว่า 75% เป็นการใช้เพื่อรักษาโรค มีเพียง 25% ที่ใช้เพื่อสันทนาการ เมื่อดูจากข้อกล่าวอ้างของหมอการเมืองที่บอกว่าคนไทยติดปุ๊นสูง 1.6 ล้านคนนั้น แท้จริงแล้วคิดเป็นเพียงไม่ถึง 1% ของประชาการสายเขียวโลก 202 ล้านคน แต่คนไทยติดยาบ้า 1.7 ล้านคน อันนี้สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก
[จับตาแก้ปมร้อน ‘กฎควบคุมใหม่’ ที่ไม่เป็นธรรม]
อุตสาหกรรมปุ๊นไทยเจอวิกฤติใหญ่ตั้งแต่ช่วง 20 มิถุนายน 2568 วันที่พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาล นำไปสู่การที่พรรคเพื่อไทยประกาศคุมเข้มปุ๊น ทั้งเรื่องใบแพทย์ ภท.33 และมาตรฐาน GACP จนส่งผลให้ธุรกิจเสียหายนับหมื่นล้านบาทด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งเป็นการปรับใหญ่โดยไม่มีเวลาให้ปรับตัว จนข้าราชการในกระทรวงยังยอมรับว่ามันเป็นเรื่องการเมือง จึงกลายเป็นประเด็นการฟ้องร้องศาลปกครอง และฟ้องจับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฐานทุจริตเชิงนโยบาย ม.157 พร้อมข้อครหาการออกกฎคุมเข้มเพื่อเอื้อนายทุนผูกขาดปุ๊นไทย
[“พูดแล้วทำ” จริงหรือ???]
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เรียกได้ว่าเป็นการรื้อมรดกพืชเศรษฐกิจใหม่ของพรรคภูมิใจไทย ผู้ประกอบการต่างโอดครวญถึงยอดขายที่ร่วงลงกว่า 70% พร้อมตลาดไต้ดินการจำหน่ายแบบผิดกฎหมายที่กลับมาเฟื่องฟู ท่ามกลางความลักลั่นทางกฎควบคุมที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ประกาศออกมาหลายฉบับจนเกิดความสับสนทั้งวงการ กระทบความเชื่อมั่นทางการลงทุนของต่างชาติ ถึงความไม่แน่นอนทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจในไทย จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องมาพิสูจน์ฝีมือ พร้อมพิสูจน์สโลแกน “พูดแล้วทำ” จะยังคงรักษาแบรนด์ดิ้งดังกล่าวไว้ได้หรือไม่ ท่ามกลางความคาดหวังอย่างสูงของสายเขียวทั่วโลก



