กลับลำ!? ‘พรรคประชาชน‘ ยืนยันหนุนปุ๊น-กระตุ้นเที่ยวไทย ชงจัดโซนสันทนาการ-เติมในร้านได้

จากกรณีที่นายเฉลิมพงศ์ แสงดี สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ยื่นหนังสือต่อกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้แก้ไขปัญหาซึ่งกลิ่นปุ๊นนั้นทำให้นักท่องเที่ยวมาไทยลดลง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสายเขียวจำนวนมาก

ล่าสุด นายเฉลิมพงศ์ เปิดเผยในรายการคนกัญเองว่า ปัญหาปุ๊นฉุดการท่องเที่ยวเป็นเพียงส่วนน้อย ซึ่งตลาดเที่ยวไทยยังมีปัจจัยอื่นฉุดรั้งอีกมาก เช่น ฟรีวีซ่าและความไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามมองว่าการท่องเที่ยวไทยรวมถึงภูเก็ตเองยังคงต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงปุ๊น (Weez Tourism) ซึ่งสามารถกระจายเม็ดเงินให้กับท้องถิ่นได้จริง โดยนโยบายของพรรคประชาชนก็สนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่คนรากหญ้ามีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม แต่พรรคยังไม่เห็นด้วยกับการออกกฎควบคุมที่ยังไม่รอบคอบ เกิดปัญหาในการบังคับใช้จึงต้องการทบทวนกฎหมายปุ๊นใหม่เพื่อเอื้อต่อการควบคุมและไม่ก่อความเดือดร้อนให้นักท่องเที่ยว

นายเฉลิมพงศ์ กล่าวอีกว่า การท่องเที่ยวแบบ Weez Tourism ในภูเก็ตนั้นพบว่ามีนักท่องเที่ยวสายเขียวที่อยากเข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการสมุนไพรไทย แต่ยังเจอความยากลำบากในสถานที่การบริโภค เนื่องจากมีกฎห้ามใช้ปุ๊นในที่สาธารณะรวมถึงห้ามใช้ในอาคารและโรงแรม ดังนั้นตนจึงมีแนวคิดเสนอให้แก้กฎหมายท้องถิ่นโดยอนุญาตให้ร้านค้าสามารถเปิดห้องเติมปุ๊นได้ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวสีเขียว โดยอาจกำหนดเป็นการเปิดโซนนิ่งสันทนาการซึ่งกำหนดให้สถานบริการในบริเวณดังกล่าวสามารถมีห้องเติมสมุนไพรได้ ผ่านการกำหนดพื้นที่และทำประชาพิจารณ์ร่วมกันในท้องถิ่น

“วันนี้ปัญหามันอยู่ตรงพื้นที่เติม มันไม่มีพื้นที่ให้เขาได้ใช้อย่างปลอดภัย นักท่องเที่ยวสายเขียวชาวต่างชาติเที่ยวไทย เขาก็อยากใช้อย่างสบายใจ” นายเฉลิมพงศ์ กล่าว

นายเฉลิมพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อดีของห้องเติมสมุนไพรในสถานบริการ ได้แก่ 1) นักท่องเที่ยวสะดวกสบายและมีสถานที่บริโภคภายในสถานบริการที่ไม่รบกวนผู้คนภายนอก 2) ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น และลดการฝ่าฝืนกฎหมายการนำปุ๊นไปใช้ในสถานที่สาธารณะ 3) ลดความเสี่ยงของนักท่องเที่ยวในการ Overdose เนื่องจากร้านค้ามีบัดเทนเดอร์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำการใช้และดูแลทุกขั้นตอน รวมถึงปฐมพยาบาลเมื่อผู้ใช้เกิดอาหารเหลืองได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องใบแพทย์ ภท.33 นั้นคงไม่มีผู้ใช้หรือนักท่องเที่ยวเต็มใจจะเปิดเผยข้อมูลหรือต้องกลายเป็นผู้ป่วย ดังนั้นเรื่องนี้อาจต้องมีการหารือกันใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทด้านการท่องเที่ยวด้วย