เปิดโปง!! รัฐบาลปั้นข้อมูลเท็จลวงคนไทย หลอกใช้เยาวชนโจมตีสายเขียว
1 min read
ม็อบเครือข่ายเขียนอนาคตปุ๊นไทย แฉยับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปั้นข้อมูลเท็จ-โฆษณาชวนเชื่อปั่นหัวคนไทยให้กลัวพืชสมุนไพร สวนทางงานวิจัยและความจริงทั่วโลก พร้อมเปิดข้อมูลกลุ่มเยาวชนต่อต้านปุ๊นมีการจัดตั้งเยาวชนต่อต้านปุ๊น-พบแจกเงินเด็กล่อลวงเข้าร่วมโครงการ เบื้องหลังมีเครือข่ายแพทย์เป็นอีแอบเอาเด็กบังหน้า ตั้งคำถามใช้เงินภาษีจัดกิจกรรมด้อยค่าสมุนไพรไทยหรือไม่
.
นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตปุ๊นไย กล่าวในการปราศรัยว่า กระทรวงสาธารณสุขเริ่มบิดเบือนข้อมูลมาตั้งแต่การติดกระดุมเม็ดแรก โดยอ้างว่าในปัจจุบันปุ๊นระบาดหนักและมีนักท่องเที่ยวใช้มาก ทั้งที่เป็นฤดูกาล low season และมีสถานบริการเริ่มทยอยปิดจำนวนมาก สิ่งนี้นำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ สธ.ใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อข้อมูลเท็จ ไปจนถึงการปกปิดข้อมูลด้านดีของสายเขียวที่ทำเพื่อสังคมในการรักษาผู้ป่วย และกล่าวถึงแต่คำบิดเบือนเพื่อหลอกให้คนไทยกลัว เพื่อเดินเกมผูกขาดพืชชนิดนี้ไว้ในมือกลุ่มนายทุนใหญ่ไม่แตกต่างจากธุรกิจเหล้าเบียร์
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวต่อว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเก็บข้อมูลผู้ใช้ปุ๊นที่อ้างว่าพุ่งขึ้นหลายเท่านั้นเจ้าหน้าที่บีบบังคับให้คนเข้ารับบำบัดยาบ้า เขียนว่าใช้ปุ๊นควบคู่ไปด้วย แม้เพียงเคยใช้แค่ครั้งเดียวในรอบ 5 ปี เช่นเดียวกับข้อมูลที่บอกว่าคนเป็นโรคจิตเพิ่มขึ้น 6 เท่า นั้นมีแนวโน้มว่าจะเป็นข้อมูลเท็จเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มแพทย์บางท่านเคยออกมาแย้งแล้ว ขณะที่งานวิจัยระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า ปุ๊นมีค่าการเสพติดน้อยกว่ากาแฟ ขณะที่บุหรี่และเหล้าที่ซื้อได้แบบไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์มีปริมาณการเสพติดมากกว่าปุ๊นหลายเท่า ทั้งยังสร้างปัญหาสังคมและเป็นภาระต่องบประมาณสุขภาพสูงกว่ามาก
“การอ้างว่าหากปล่อยให้ปลูกได้เสรีจะทำให้คนติดทั้งบ้านทั้งเมืองเป็นเรื่องเท็จ เพราะความจริงแล้วประเทศไทยมีพืชชนิดนี้ในตำรับยาหลายร้อยปี เป็นวิถีชาวบ้านปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนไปจนถึงชนเผ่าหลายแห่งที่ปลูกกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ไม่เห็นลูกหลานติดปุ๊นเหมือนที่รัฐกล่าวอ้าง ขณะที่ข้อมูลวิจัยในสหรัฐพบว่าหลังจากปลดล็อกปุ๊น 14 ปี ตัวเลขผู้ดื่มสุราลดลง อุบัติเหตุลดลง และการใช้บุหรี่รวมถึงยาเสพติดลดลงเช่นกัน สวนทางกับคำบิดเบือนในเมืองไทยที่สวนทางกับโลกความเป็นจริง”
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวต่อว่า เมื่อคุณใช้ข้อมูลเท็จเป็นบรรทัดฐาน มาตรฐานที่ออกมาย่อมไร้ประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นกติกาที่เอื้อต่อทุนใหญ่ โดยอ้างความเท็จให้คนกลัว และปฏิเสธข้อมูลด้านดีของปุ๊น กระทรวงสาธารณสุขไม่เคยยอมรับและประกาศคุณงามความดีหมอที่ใช้ปุ๊นรักษาคนไข้ หรือแม้ต่สายเขียวที่เปิดคลินิกรักษาฟรี
ให้กับผู้ป่วยที่โรงพยาบาลรักษาไม่หาย ไม่แม้แต่จะบรรจุสูตรยาใหม่หรือยอมรับงานวิจัยคุณประโยชน์ของปุ๊นในระบบราชการ เลิกมโนเสียทีว่าถ้าปล่อยให้ปลูกได้ทุกบ้าน คนจะติดปุ๊นทั้งประเทศ คนไทยปลูกกันมาเป็นร้อยปี หลายชุมชน-หลายชนเผ่า หรือความจริงแล้ว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ต้องการจะผลักทุกคนลงใต้ดิน นี่คือวิธีคิดของข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุข ต้องเอาสายเขียวไปกักขัง-กดขี่ แล้วเพ้อฝันไปเองว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ทั้งหมด
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เราต้องไปรื้อเพื่อตรวจสอบการทำงานของศูนย์ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ว่ามีการเก็บข้อมูลบิดเบือนแบบนี้อย่างไร มีวิธีทำงานกันแบบไหน มีใบสั่งจากนักการเมืองหรือไม่ เรื่องนี้ต้องเร่งเข้าไปตรวจสอบเพราะนำไปกำหนดนโยบายที่สร้างความเสียหายต่อสายเขียวทั้งประเทศ โดยจะรวมตัวกันไปที่ศูนย์ดังกล่าวในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชอบอ้างเสียงของกลุ่มต่อต้านเยาวชนและหมอ 100,000 รายชื่อ แต่กลับไม่เคยกล่าวถึงการเข้ารายชื่อของสายเขียวเกือบแสนคนเช่นกัน ซึ่งได้เข้ารายชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) เพื่อควบคุมมานานแล้ว เคยยื่นฉบับแรกไป 10,000 รายชื่อ ฉบับที่สอง 20,000 รายชื่อ และมีอีกหลายฉบับที่รวมเสียงไม่ต่ำกว่า 10,000 รายชื่อ/ฉบับ
ด้านแหล่งข่าวจากกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า จากการตรวจสอบเครือข่ายเยาวชนต่อต้านปุ๊นนั้นพบว่ามีสมาคมแพทย์ใหญ่ 2 แห่ง เป็นขบวนการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการจ่ายตังจ้างเด็กและเยาวชนมาร่วมกิจกรรมต่อต้านปุ๊น เช่น การให้ค่าเดินทาง-เบี้ยเลี้ยงเมื่อเข้าร่วมงาน การจัดประกวดคำขวัญต่อต้านปุ๊นซึ่งมีเงินรางวัลมาล่อนับล้านบาท เป็นต้น จึงน่าสนใจว่าโครงการเหล่านี้เป็นการใช้เงินภาษีจากรัฐมาล้างสมองเด็กหรือไม่ โดยเฉพาะการให้เด็กบอกข้อเสียทั้งที่ยังไม่เคยได้ศึกษาข้อมูล เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี บริโภค แล้วแบบนี้จะไม่มีการบิดเบือนได้อย่างไร นอกจากนี้ยังชวนจับตาดูว่าขบวนการเยาวชนต่อต้านปุ๊นนี้มีการรับเงินจากหน่วยงานรัฐแห่งใด ถึงได้มีงบประมาณมาจัดงานแจกเงินนับล้านบาท ไปจนถึงการจ้างนิสิต-นักศึกษามหาวิทยาลัยจัดโครงการต่างๆ ไปจนถึงเดินเข้าหาสมาคมผู้ปกครองหลายโรงเรียนเพื่อล่ารายชื่อโดยเอาเยาวชนมาเป็นโล่กำบังแอบอ้างบังหน้า รวมถึงการสนับสนุนสื่อให้ประโคมข่าวประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อโจมตีปุ๊นหรือไม่