สธ.คอนเฟิร์ม!! พกปุ๊นไม่ผิดกฎหมาย-ตั้งด่านจับไม่ได้

สธ.คอนเฟิร์ม!! พกปุ๊นไม่ผิดกฎหมาย-ตั้งด่านจับไม่ได้ แม้ไร้ใบรับรองแพทย์ ยันชี้แจงฝ่ายตำรวจแล้ว

นายชัชปัฐวี อัฏฐพรเมธา แกนนำสมาพันธ์ปุ๊นเพื่อประชาชน กล่าวถึงกรณีตำรวจตั้งด่านจับสายเขียวว่า ได้สอบถามไปยัง น.พ.เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ประยุกต์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงชัดเจนว่า “ปัจจุบันยังไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายข้อใด ระบุให้ผู้ใช้ปุ๊นต้องพกพาใบรับรองแพทย์ติดตัวตลอดเวลา การใช้กัญชาโดยบุคคลทั่วไป สามารถกระทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์”

นายชัชปัฐวี กล่าวต่อว่า ตอนนี้ช่อดอกปุ๊นยังไม่กลับเป็นยาเสพติด ดังนั้นจึงสามารถครอบครองและพกพาไปในที่สาธารณะโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถตั้งด่านจับได้ การพกพาปุ๊นโดยไม่มีใบรับรองแพทย์นั้นไม่มีความผิดตามกฎหมายประเทศไทย ซึ่งการพกพาเพื่อใช้ส่วนบุคคลโดยไม่ใช้สันทนาการในสถานที่สาธารณะนั้นอยู่ภานยใต้การคุ้มครองตามตัวบทกฎหมายของกรมการแพทย์ฯ เช่นเดียวกับการปลูกและบริโภคเองในครัวเรือนยังสามารถกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

“หากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาพกพาหรือครอบครองปุ๊น โดยไม่มีพฤติกรรมจำหน่ายหรือก่อความเดือดร้อนในที่สาธารณะ ต้องชี้แจงว่าไม่สามารถดำเนินคดีในฐานะยาเสพติดได้ และต้องดูว่ามีการตั้งข้อหาตามกฎหมายอื่นหรือไม่ โดยการประชุมกรรมาธิการร่วมซึ่งมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)นั้นกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงไปยังผู้บัญชาการให้ทราบถึงกฎหมายประกาศฉบับใหม่แล้วว่าไม่สามารถจับผู้ครอบครองได้” นายชัชปัฐวี กล่าว

นายชัชปัฐวี กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการรายงานจากสายเขียวทั่วประเทศในการตั้งด่านจับสายเขียวที่พกพาโดยอ้างว่าครอบครองยาเสพติดซึ่งมีการเรียกค่าปรับสูงถึง 40,000 บาท ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติในจังหวัดภูเก็ตโดนจับข้อหาครอบครองพันลำโดนปรับเช่นกัน 5,000 บาท จึงอยากฝากสื่อสารไปถึงสายเขียวให้ทราบโดยทั่วกันว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

แกนนำสมาพันธ์ปุ๊นเพื่อประชาชน กล่าวถึงการฟ้องร้องศาลปกครองว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารเพื่อส่งฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งถือเป็นวิธีที่รวดเร็วสุดในการหยุดยั้งความเสียหายของผู้ประกอบการภายใต้ประกาศควบคุมฉบับใหม่ เพื่อให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการเพื่อคุ้มครองให้สามารถประกอบกิจการภายใต้กฎหมายเดิมได้คือไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์และไม่ต้องมี GACP ดังนั้นผู้ที่สนใจยื่นฟ้องสามารถติดต่อได้เพื่อรวบรวมมูลค่าความเสียหายให้มากที่สุด โดยมีทีมกฎหมายดำเนินการยื่นฟ้องร้องให้ไม่ต้องไปขึ้นศาลเอง ซึ่งตนเองมั่นใจว่ามีโอกาสสูงเนื่องจากได้มือกฎหมายระดับมือฉมังมาทำงานเรื่องนี้ พร้อมยืนยันว่าการขับเคลื่อนดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยไม่มีวาระผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝงแน่นอน