‘ศาลเยอรมัน’ ตัดสินให้นักโทษ ‘ปลูก-ใช้ปุ๊น’ ในเรือนจำได้ ระหว่างการคุมขัง

ศาลแขวงเบอร์ลิน-เทียร์การ์เทน ตัดสินให้นักโทษที่ถูกค้นพบว่าครอบครองปุ๊นในห้องขัง 45 กรัมนั้นไม่มีความผิดตามกฎหมาย เนื่องจากเคารพสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญซึ่งกฎหมายปุ๊น (KCanG) ได้อนุญาตให้ประชาชนปลูกที่บ้านและสามารถครอบครองได้ไม่เกิน 50 กรัม ในถิ่นที่พักอาศัยส่วนบุคคล โดยศาลแขวงมองว่า ห้องขังเป็นสถานที่ส่วนบุคคลเช่นกัน จึงต้องเคารพสิทธิ์สายเขียว เรื่องนี้สะท้อนประเทศที่เคารพสิทธิ์ สวนทางกับประเทศไทยซึ่งมีกลุ่มหมอรับเงินจากหน่วยงานภาครัฐมาจัดโครงการเสวนาโจมตีปุ๊น เช่นเดียวกับขบวนการหมอต่อต้านห้องสูบบุหรี่ในสนามบินไทย ซึ่งสะท้อนถึงการ ‘ไม่เคารพสิทธิ์ประชาชน’

ศาลแขวงเบอร์ลิน-เทียร์การ์เทน ให้เหตุผลในการตัดสินว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการครอบครองปุ๊นอย่างถูกกฎหมายไม่เกิน 50 กรัม ณ “ถิ่นที่อยู่ปกติ” ของจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับ KCanG ซึ่งระบุว่า “ถิ่นที่อยู่ตามปกติ” แปลว่า สถานที่ที่บุคคลพักอาศัยภายใต้สถานการณ์ที่บ่งชี้ว่าบุคคลนั้นพักอาศัยอยู่ในสถานที่หรือบริเวณนี้เป็นระยะเวลานานกว่าชั่วคราว ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายอย่างที่อัยการกล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม สำนักงานอัยการสูงสุดได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยทางกฎหมายนี้ พร้อมโต้แย้งว่าจุดประสงค์ของกฎหมายไม่ใช่เพื่อห้ามการครอบครองปุ๊นในห้องขัง แต่เพื่ออนุญาตให้ครอบครองภายในสถานที่พักอาศัยส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้น “ถิ่นที่อยู่ปกติ” ในพระราชบัญญัติ KCanG จึงต้องขอให้ศาลทบทวนอีกครั้ง พร้อมตั้งคำถามว่านักโทษในเรือนจำสมควรได้รับสิทธิ์การปลูกปุ๊นทุกคนหรือไม่ตามคำตัดสินนี้ ซึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยระบุว่า แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้กระทำการได้ แต่ผู้บังคับบัญชาเรือนจำยังมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายเรือนจำเพื่อห้ามการบริโภคปุ๊นในสถานกักกันได้โดยอ้างปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสถานกักขัง

ข้อถกเถียงดังกล่าวสะท้อนกระวบนการยุติธรรมที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับประเทศสารขัณฑ์บ้านเรา ซึ่งมีการโจมตีพืชเศรษฐกิจใหม่โดยใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียว นอกจากนี้ยังเห็นขบวนการที่อาจใช้เงินทุนภาษีจากหน่วยงานที่ได้เงินทุนของภาครัฐ มาจัดเวทีเสวนาโจมตีปุ๊นโดยไม่สนใจสิทธิ์ประชาชนตามกฎหมาย ขณะที่การรวมตัวของผู้ใช้ปุ๊นเกิดจากหัวใจโดยไม่มีการใช้เงินภาษีใดใดของชาติ คล้ายคลึงกับแนวทางการต่อต้านห้องสูบบุหรี่ภายในสนามบินของหมอไทย ซึ่งแม้นายกรัฐมนตรีจะเห็นชอบให้ดำเนินการได้ แต่ยังคงมีการกล่าวอ้างข้อมูลด้านเดียวที่ไม่เคารพสิทธิ์ประชาชนและความเป็นสากล